บัวขาว ฉุน ป.ประมุขไม่ถอนฟ้อง ตัดพ้อ ผู้ใหญ่ในวงการมวย ไม่ให้ความเป็นธรรม

บัวขาว ฉุน ป.ประมุขไม่ถอนฟ้อง ตัดพ้อ ผู้ใหญ่ในวงการมวย ไม่ให้ความเป็นธรรม

555000007759501

บัวขาว ป.ประมุข มอบหมายให้ ดร.เทพปกรณ์ อินทรพัฒน์ ทนายความ ไปยื่นคำให้การ หลังค่าย ป.ประมุขยังไม่ได้ถอนฟ้องกรณี ฝ่าฝืนขึ้นชกมวยศึกไทยไฟต์ ที่พัทยา เมื่อวันที่ 17 เมษายน 2555 พ้อ ตอนนี้เหมือนโดนสัญญาทาส

เมื่อวันศุกร์ที่ 15 มิถุนายน 2555 เวลา 11.30 น. บัวขาว ป.ประมุข ได้มอบหมายให้ ดร.เทพปกรณ์ อินทรพัฒน์ ทนายความ ไปยื่นคำให้การในคดีที่ ค่าย ป.ประมุข ฟ้องต่อศาลแพ่ง เรียกค่าเสียหาย 100 ล้าน จากกรณีที่ บัวขาว ขึ้นชกมวยศึกไทยไฟต์ ที่พัทยา เมื่อวันที่ 17 เมษายน 2555

โดย บัวขาว ยื่นคำให้การปฏิเสธว่า ไม่ได้กระทำผิดต่อค่ายมวย เพราะเมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2553 นายธีรพัฒน์ โรจนตัณฑ์ หัวหน้าค่าย เป็นคนติดต่อ จัดการนำ บัวขาว ไปเซ็นสัญญากับ บริษัท สปอร์ต อาร์ต ให้ขึ้นชกในศึกไทยไฟต์ เป็นเวลา 2 ปี จนถึงเดือนธันวาคม 2555 โดย นายธีรพัฒน์ ได้ลงชื่อเป็นพยานในสัญญา ซึ่งนับแต่ทำสัญญานี้ ตนก็ขึ้นชกรายการศึกไทยไฟต์ตลอดมา ค่ายก็รับรู้โดยตลอดไม่มีปัญหา และเมื่อประมาณเดือนมกราคม 2555 ค่าย ป.ประมุข ก็ได้ไปตกลงกับ สปอร์ต อาร์ต และโปรโมเตอร์ จัดให้บัวขาวขึ้นชกศึกไทยไฟต์ที่พัทยา ที่กำหนดจัดขึ้นในวันที่ 17 เมษายน 2555 จากนั้นค่ายก็สั่งให้ บัวขาว ซ้อมเพื่อเตรียมตัวขึ้นชกรายการนี้ และค่ายมวยก็เคยทำหนังสือ เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2555 ขออนุญาตจาก สปอร์ต อาร์ต นำ บัวขาว ไปขึ้นชกในศึก ป.ประมุข ที่จะจัดขึ้นใน วันที่ 4 พฤษภาคม 2555 ซึ่งการกระทำดังกล่าว เท่ากับค่ายมวยยอมรับว่า ภายในกำหนดสัญญา 2 ปี ค่ายมวยยินยอมหรืออนุญาตให้ บัวขาว ขึ้นชกในศึกไทยไฟต์ได้ และค่ายมวยได้ยินยอมมอบสิทธิในขึ้นชกมวยของ บัวบาว ให้ สปอร์ต อาร์ต แล้ว ซึ่งในสัญญาฉบับนี้ถ้า บัวขาว ไม่ยอมขึ้นชกศึกไทยไฟต์ ก็ถือว่าผิดสัญญากับ สปอร์ต อาร์ต บัวขาว จะต้องถูกปรับ 1 ล้าน 5 แสนบาท ดังนั้นการขึ้นชกของ บัวขาว ที่พัทยาดังกล่าว จึงไม่ได้ทำให้ค่ายมวยเสียหาย เพราะถือว่าอนุญาตแล้ว

และ บัวขาว ยังให้การต่อไปว่า ค่ายมวยไม่มีสิทธิ์ฟ้อง บัวขาว ในคดีนี้ เพราะค่ายมวยกับ บัวขาว มีความสัมพันธ์กันตามกฎหมายมวย มีการทำสัญญาสังกัดค่ายมวยต่อกัน ซึ่งค่ายมวยจะมีสิทธิฟ้องเรียกค่าเสียหายจากนักมวยก็ต่อเมื่อ ค่ายมวยได้บอกเลิกสัญญาสังกัดค่ายเสียก่อน ตามสัญญาข้อ 12 และ 13แต่การฟ้องครั้งนี้เป็นการฟ้องทั้งที่ยังไม่บอกเลิกสัญญา

นอกจากนี้การที่ค่ายมวย ยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งห้าม บัวขาว ชกมวยหรือถ่ายโฆษณาใดๆก่อนคดีถึงที่สุด ซึ่งศาลนัดไต่สวนคำร้องวันที่ 2 กรกฎาคม 55 นั้น บัวขาว ก็ได้ยื่นคัดค้านแล้ว ว่าบัวขาว กับค่ายมวย ขัดแย้งกันเรื่องถูกเอาเปรียบจากค่ายมวยเรื่องเงินค่าตัว ซึ่งบัวขาว ยังได้รับไม่ครบ และสะสมกันมาหลายครั้ง รวมทั้งเรื่องอื่นๆ ด้วย ทำให้ต้องหนีออกจากค่าย ซึ่งบัวขาว ได้มีหนังสือแจ้งนายทะเบียนให้พิจารณาเรื่องนี้ตั้งแต่วันที่ 26 มีนาคม 55 ก่อนฟ้องคดีนี้แล้ว และจากการที่ค่ายมวยกับพวก พยายามกดดัน บัวขาว จนกระทั่ง บัวขาว ต้องประกาศยุติการชกมวยไทย เมื่อวันที่31 พฤษภาคม 55 ต่อหน้าสื่อมวลชนและนายทะเบียนมวย ซึ่งบัวขาวได้ยื่นหนังสือขอยกเลิกการเป็นนักมวยไทยไปแล้ว เมื่อ บัวขาว ไม่มีสถานะเป็นนักมวยแล้ว ก็ย่อมขึ้นชกมวยไทยอีกไม่ได้ตามกฎหมายอยู่แล้ว ส่วนการถ่ายโฆษณาหรือโชว์ตัวนั้น ไม่เกี่ยวกับการชกมวย บัวขาว ย่อมมีสิทธิทำได้ เพราะเป็นเสรีภาพในการประกอบอาชีพ และเป็นสิทธิส่วนบุคคล และ บัวขาว จำเป็นต้องทำงานหารายได้เพื่อเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง และดูแลพ่อ พี่น้อง แต่ทั้งนี้อยู่ที่ศาลจะให้ความเป็นธรรม

บัวขาว กล่าวในตอนท้ายว่า ตอนที่ตนประกาศยุติการชกมวยไทย เห็นกำนัน แก๊ ปรบมือ ตนเข้าใจว่าทุกอย่างจะจบ เพราะไม่รู้ว่าจะเอาอะไรกับตนอีก เงินทองตนก็ไม่มีแล้ว แต่รออยู่หลายวันก็ไม่เห็นค่ายมวยถอนฟ้อง ตนจึงต้องสู้คดี ผู้ใหญ่ในวงการมวย ก็ดูจะไม่ค่อยให้ความเป็นธรรมกับตน มีการลงโทษไปก่อนที่จะให้ตนชี้แจงความจริง นี่ตนได้ยื่นหนังสือขอให้นายทะเบียนมวย เรียกสัญญาการชกมวย ที่ค่ายมวยไปทำไว้กับผู้จัดครั้งใหญ่ๆ 15 ครั้ง มาตรวจสอบ เพื่อตนอยากรู้ว่าค่าตัวในการชกแต่ละครั้งของตน มีการตกลงกันเท่าใด เพราะกฎหมายมวยกำหนดไว้ว่า นักมวยต้องได้ครึ่งหนึ่ง นี่ก็เห็นยังเงียบอยู่

สัญญาระหว่างนักมวยกับค่ายมวย ปัจจุบันยิ่งกว่าสัญญาทาสเสียอีก เพราะทาสในสมัยก่อนร.๕ นั้น บิดามารดาหรือตัวเองต้องไปกู้เงินเขามา แต่นักมวยไม่ได้ไปเอาเงินใคร ชกแต่ละทีก็เอาหยาดเหงื่อ ความเจ็บปวด เข้าแลก ดีไม่ดีต้องพิการก็มี ลองคิดดู และถ้าผมไปเปิดร้านขายลาบ ส้มตำ ต้องให้ค่ายอนุญาตก่อนใช่ไหม และต้องแบ่งรายได้ให้ค่ายด้วยหรือ บัวขาว กล่าวในที่สุด

แสดงความคิดเห็น

0 ความคิดเห็น