บัวขาว (Buakaw Banchamek) กับจุดจบ ที่ตัวเองทำเอง!

บัวขาว (Buakaw Banchamek) กับจุดจบ ที่ตัวเองทำเอง!

  buakarw9 

กลายเป็นปัญหาที่ยืดเยื้อมายาวนานสำหรับกรณีของแชมป์มวยไทยไฟต์ชื่อดัง “บัวขาว ป.ประมุข” หรือชื่อ-สกุลจริง สมบัติ บัญชาเมฆ แต่ดันมีปัญหากับผู้สร้าง กับค่ายมวยที่อยู่มาตั้งแต่หัวเท่ากำปั้นครั้งนั้น บัวขาว มีปัญหากับ “เสี่ยอุ ป.ประมุข” หรือ นายธีระพัฒน์ โรจนตัณฑ์ ผู้จัดการและเจ้าของค่าย ป.ประมุข ที่เคยประกาศว่า...จะไม่ยอมให้ยอดนักมวยไทยขึ้นสังเวียน “ไทยไฟท์” จนถึงขั้นกลายเป็นการเผชิญหน้า และก็มีเรื่องราวฟ้องร้องกันตามมา บัวขาว ถึงขนาดยอมเสี่ยงกับคำว่าเนรคุณ เพราะต้องการออกจากค่าย ป.ประมุข ถึงขนาดหลบลี้หนีหน้าหายไป แม้ว่า กำนันแก๊ นายประมุข โรจนตัณฑ์ เจ้าของค่ายมวย ป.ประมุข จะพยายามหาทางไกล่เกลี่ยคลี่คลายในตอนแรก แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ เพราะบัวขาวอ้างว่า ที่ต้องหนีออกจากค่ายเนื่องจากไม่พอใจในหลาย ๆ อย่าง และต้องการเป็นอิสระ
เล่นเอากำนันแก๊ผิดหวังสุดๆ ถึงกับออกปากว่า ในฐานะเจ้าของค่ายเป็นผู้เลี้ยงดูบัวขาวมาตั้งแต่อายุ 8 ขวบ รักและดูแลเหมือนกับลูกในไส้ พอเกิดเหตุการณ์ลักษณะนี้ยอมรับว่า ผิดหวังมาก ไม่อยากจะเชื่อว่าบัวขาวจะตัดสินใจตัดสัมพันธ์กับค่ายโดยไม่นึกถึงบุญคุณที่เคยชุบเลี้ยงกันมาจนมีชื่อเสียงโด่งดัง แต่ด้วยความผูกพันมานาน ก็ยังหาทางออกให้คนที่เคยรักเหมือนลูกว่าทางค่ายยังให้โอกาสบัวขาวกลับมาอยู่กับค่าย โดยพร้อมจะให้อภัยเรื่องราวที่เกิดขึ้นทุกประการ จะนัดคุยกันแบบส่วนตัวกับตนเอง โดยไม่มีคนอื่นเกี่ยวข้องก็ได้

หรือจะพูดคุยกันโดยมีคนกลางเป็นคนไกล่เกลี่ยก็ได้ หรือจะใช้คนจำนวนมากในการคุยกันก็ได้ หรือจะให้ตนขับรถไปหาที่ จ.สุรินทร์ ก็ไม่มีปัญหาอะไร เพียงแต่ขอให้ได้พูดคุยกัน แต่ดูเหมือนว่าการอ่อนข้อให้กับบัวขาวของกำนันแก๊ ไม่ได้ผลเท่าที่ควร เพราะบัวขาวยังยืนกรานที่จะไม่ใช้ชื่อค่าย ป.ประมุข รวมทั้งจะขึ้นชกไทยไฟต์ให้ได้

จนกลายเป็นเรื่องวุ่นวายไปหมดทั้งวงการมวย และการกีฬาแห่งประเทศไทย จนสุดท้ายระดับผู้ใหญ่ต้องลงมาไกล่เกลี่ย มีการทำข้อตกลงกันในศาล และบัวขาวยอมกราบขอขมากำนันแก๊ ซึ่งครั้งนั้นไม่เพียงแต่ ค่าย ป.ประมุข จะมีปัญหากับบัวขาว แม้แต่ผู้จัดการแข่งขันมวยไทยไฟท์ ก็พลอยถูกลากเข้ามาในวังวนของความขัดแย้งไปด้วย เพราะกลายเป็นว่า “บิ๊กมด” นายนพพร วาทิน ประธานกรรมการบริหาร สปอร์ต อาร์ต จำกัด ต้องออกมาชนกับค่าย ป.ประมุข ว่าทำไมถึงได้ทำเหมือนชักเข้าชักออก วันดีคืนดีก็บอกว่าจะชก แต่พอมาอีกวันบอกว่าไม่ให้ชกแล้ว ซึ่งมันเป็นเรื่องที่ทำให้คนอื่นเสียหาย วันนั้นหลังการไกล่เกลี่ยกันในศาล ดูเหมือนว่าเรื่องน่าที่จะจบ แต่เอาเข้าจริงๆก็ไม่จบ เพราะประเด็นผลประโยชน์ในความรู้สึกของบัวขาว ลึกๆแล้วไม่ได้เป็นอย่างภายนอกที่แสดงออกเลย เห็นชัดเจนว่าการกราบขอขมากำนันแก๊นั้นเป็นเรื่องหนึ่ง

แต่ความต้องการที่จะไม่ใช้ชื่อค่าย ป.ประมุข ความต้องการที่จะไปตั้งค่ายมวยของตนเอง ไม่เคยได้เลือนหายไปจากจิตใจของบัวขาวเลยก็ว่าได้ ครั้งนั้นกำนันแก๊ และค่าย ป.ประมุข โดนมาก่อน แต่ครั้งนี้ มด นพพร และ บ.สปอร์ต อาร์ต เจ้าของลิขสิทธิ์ มวยไทยไฟต์ เจอเข้าให้บ้างเต็มๆ เมื่อ “บัวขาว” ได้หาทางเลี่ยงที่จะปฏิบัติตามข้อตกลงซึ่งมีการตกลงไว้ในศาลแพ่ง เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2555 ไม่ว่าจะกับทางค่าย ป.ประมุข หรือกับทางไทยไฟต์ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องรายได้จากการโฆษณาประชาสัมพันธ์และโชว์ตัวรวมไปถึงรายได้จากการมีอาชีพเป็นนักมวยที่ใช้ชื่อ “บัวขาว ป.ประมุข” นอกจากนี้ยังมีเรื่องของ “การละเมิดลิขสิทธิ์ทางปัญญาเพื่อการค้า” ที่ไทยไฟต์เดินหน้าฟ้องร้องเอาผิดกับ บริษัท แม็กซ์ มวยไทย จำกัด ซึ่งเป็นผู้จัดรายการแม็กซ์ เวิลด์ แชมเปี้ยน ทั้งทางอาญาและแพ่งมูลค่า 100 ล้านบาท โดย “บัวขาว” ก็ได้เข้าไปเป็นโปรโมเตอร์ของรายการนี้ด้วย โดยปัญหาของการละเมิดลิขสิทธิ์...เป็นในส่วนของคณะกรรมการทั้ง 3 ของบริษัทที่ไปนำเอารูปภาพของทางไทยไฟต์ไปดัดแปลงเพื่อไปโปรโมตในรายการแข่งขันชกมวยของตน...แม้เรื่องนี้จะไม่เกี่ยวข้องกับทางบัวขาวโดยตรง เพราะไม่ถือว่าเป็นผู้กระทำความผิด...แต่บัวขาวจะไม่รู้เชียวหรือว่ารูปภาพเหล่านั้นเป็นลิขสิทธิ์ของทางไทยไฟต์...รู้แล้วไม่มีการบอกกล่าวยังปล่อยให้ทำ...เมื่อทำแล้วก็เกิดปัญหาการฟ้องร้องเป็นคดีความกันขึ้นมา ซึ่งถ้าเป็นตามกฎกติกามารยาท...มันจำเป็นจะต้องมีการทำเป็นจดหมายลงลายมือชื่อของใช้รูปภาพที่ถูกต้อง เพระขนาดบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง สิงห์ คอร์เปอเรชั่น อยากจะขอรูปเกี่ยวกับงานไทยไฟต์เพียงแค่รูปเดียว...ก็ยังถือว่าเป็นเรื่องสำคัญ...เป็นเรื่องที่ต้องทำอย่างเป็นทางการ...จะเอามาใช้โดยที่ไม่ขออนุญาติไม่ได้ สิงห์ คอร์เปอเรชั่น จึงทำหนังสือมาเป็นลายลักษณ์อักษรถึงทางไทยไฟต์ เพื่อขอใช้ภาพเพียงแค่ภาพเดียว

ซึ่งทางไทยไฟต์ก็ยินดีกับการทำอะไรอย่งถูกต้องตรงไปตรงมาของค่ายสิงห์ เรื่องสำคัญแบบนี้ไม่ว่าจะเป็น บริษัท แม็กซ์ มวยไทย จำกัด หรือลูกหม้อที่ถูกปลุกปั้นขึ้นมาอย่าง “บัวขาว” จะมองข้ามกันไม่ได้...ทุกอย่างต้องมีกติกา...ทุกอย่างต้องมีมารยาท...ทุกอย่างต้องมีมาตรฐาน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นการกระทำของบัวขาวที่ดูจะมีความผิดชัดเจนมากที่สุดนั่นก็คือ...การที่เขาไปขึ้นชกในรายการอื่น ทั้งที่ยังมีสัญญากับไทยไฟต์ อย่างเช่นที่ รายการ ขะแมร์ไฟเตอร์ ซึ่งครั้งนั้นบัวขาวได้ค่าตัวไป 1 ล้านบาท...แถมเป็นการชกโชว์ ซึ่งขัดต่อ พ.ร.บ. มวย ที่ไม่อนุญาตให้รับเงินรางวัลสำหรับผู้สาธิตหรือผู้แสดงได้ โดยเฉพาะสิ่งที่ดูจะเป็นประเด็นที่ไทยไฟต์ขุ่นข้องหมองใจมากที่สุด นั่นก็คือประเด็นเดียวกับที่คาย ป.ประมุข เคยรู้สึกมาก่อนแล้วในฐานะที่สร้างบัวขาวขึ้นมานั่นเอง เพราะต้องยอมรับความเป็นจริงว่า ไทยไฟต์ถือเป็นผู้ “ให้กำเนิด” บัวขาวรอบที่ 2 ถัดจากค่าย ป.ประมุข

เป็นการสร้างบัวขาวขึ้นมาหลังจากที่ความโด่งดังที่เคยมีเมื่อตอนไปชกมวย “เค-วัน” ที่ญี่ปุ่นเริ่มหดหาย... ตอนนั้นจากแชมป์มวย เค-วัน 2 สมัย บัวขาวก็เริ่มโรย เพราะแพ้ในรอบ 8 คน พอปีถัดมาทีนี้ถูกน็อกสลบเหมือด แม้พยายามจะฝืนต่อในปีต่อมาก็เป็นได้แค่รองแชมป์ เรียกได้ว่า การพลาด 3 ปีติดต่อกัน ทำให้บัวขาว แทบจะเรียกได้ว่า จบแล้วในตอนนั้น แต่ก็เป็นไทยไฟต์ นั่นแหละที่มาลากขึ้นจากหลุม และสร้างให้บัวขาวกลายเป็นแชมป์มวยไทยไฟต์ที่กึกก้องขึ้นมาได้อีก แต่ มด นพพร และ สปอร์ต อาร์ต กลับต้องเจอกับคำถามที่ว่า “ไทยไฟท์เกิดขึ้นเพราะบัวขาว หรือบัวขาวเกิดขึ้นเพราะไทยไฟท์”??? แน่นอนในฐานะผู้จัดที่ปั้นบัวขาว ไทยไฟต์ไม่ได้คิดเช่นนั้นแน่...แต่ดูเหมือนว่า “บัวขาว” จะมีความเชื่อว่าเขาคือผู้ที่สร้างชื่อเสียงสร้างเงินสร้างทองให้กับไทยไฟต์ขึ้นมา...แต่ทว่าความจริงมันเป็นเช่นนั้นหรือ? “บัวขาว” คงกำลังเข้าใจอะไรผิดเยอะแยะมากมาย...เพราะถ้าหากเขาไม่ได้ชกไทยไฟต์ในวันนั้น...วันนี้ก็เชื่อได้อย่างหนึ่งว่า ชื่อของ “บัวขาว” อาจจะเลือนหายไปกับตำนานสมัยชก เค-วัน ไปแล้วก็เป็นได้ ดังนั้นการที่ตอนนี้ มีคนพยายามที่จะใช้ถ้อยคำเลี่ยงข้อตกลงในศาล อ้างเรื่องชกโชว์ไม่ใช่การชกจริง แล้วไปขึ้นชกที่เวทีอื่นโดยมีค่าตัว...มีเงินรางวัล...หรือได้รับผลตอบแทน...เข้าพกเข้าห่อตัวเองโดยตรง...สิ่งนี้ถือเป็นเรื่องที่สมควรกระทำหรือ? ทั้งๆ ที่บัวขาวเองก็เป็นคนลงลายมือชื่อยอมรับในการทำสัญญาประนีประนอมยอมความต่อหน้าศาลว่าเขาจะต้องปฏิบัติตัวอย่างไรเกี่ยวกับเรื่องรายได้จากการชกมวย บัวขาวได้ 60 เปอร์เซนต์ใช่ไหม ส่วนอีกฝ่ายจะได้ 40% ใช่หรือไม่ และไม่สามารถไปขึ้นชกเพื่อแสวงหาผลประโยชน์กำไรนอกเหนือจากสัญญาที่ทำกันไว้ได้ ทุกอย่างมันชัดเจน...และขนาดคำสั่งยังมีความพยายามเลี่ยงบาลีกันสุดชีวิต...คำถามที่อยากจะเตือนสติก็คือเรื่องอย่างอื่นเขาจะเลี่ยงไม่ได้หรือ? สุดท้ายก็เป็นอย่างที่เกิดขึ้น บัวขาวถูก “ไทยไฟต์” ฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายจำนวน 50 ล้านบาท ข้อหาผิดสัญญาไปชกรายการที่ประเทศกัมพูชาโดยไม่แจ้งกับไทยไฟต์ ที่เป็นเจ้าของสิทธิ์ล่วงหน้า เพราะ“โจ ไทยไฟต์” นายนพรัตน์ พุทธรัตนมณี รองประธานจัด บอกว่าพยายามที่จะเรียกบัวขาวมาเคลียร์เพื่อหาทางออก แต่ทางคนใกล้ชิดของบัวขาว ก็พยายามแย้งว่าไม่ผิด จึงจำเป็นต้องใช้ข้อกฎหมายเข้ามาตัดสิน “คนใกล้ชิดของบัวขาวพยายามใช้ข้ออ้างตลอด คือไม่ยอมรับผิดว่าการไปชกที่ประเทศกัมพูชาเป็นเพียงการชกโชว์เท่านั้น

แต่จากที่ได้ดูคลิปเป็นการต่อยจริงทุกอย่าง มีกรรมการตัดสินและมีการชูมือให้กับผู้ชนะแล้วแบบนี้จะเรียกว่าโชว์ได้อย่าง ไร” ถ้าอ้างว่าการชกที่เขมรเป็นการชกโชว์ ต้องถามประชาชนคนดูว่าอย่างนั้นเรียกชกโชว์หรือเปล่า แถม กำนันแก๊ ก็เตรียมฟ้องบัวขาวข้อหาไม่ทำตามคำสั่งศาล เกี่ยวกับการแบ่งผลประโยชด้วย เพราะยืนยันว่าตั้งแต่ต้นปี 56 ไม่เคยได้รับส่วนแบ่งค่าตัวและงานโชว์ รวมถึงเป็นพรีเซ็นเตอร์จากบัวขาวเลย จึงอยากขอเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับตัวเองบ้างหลังจากที่ตนถูกประณามมา ตลอด. วันนี้ประเด็นของ ไทยไฟต์ กับ ค่าย ป.ประมุข จึงตกอยู่ในสภาวะหัวอกเดียวกัน โดนเหมือนกัน คงต้องขอเตือนสติว่า

สิ่งที่บัวขาวกำลังทำ...คงไม่สามารถใช้คำเรียกว่า “ปลดแอกตัวเอง” หากแต่เป็นการไม่รู้จักถึงการมีจิตสำนึก และเป็นผู้รักษาคำมั่นสัญญาในกฎและกติกาเสียมากกว่า การเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงด้วยการขึ้นมายืนเป็น “เบอร์หนึ่ง” ในด้านใดด้านหนึ่ง มิได้หมายความว่า คนๆ นั้นจะต้องเก่งเพียงอย่างเดียว แต่มันยังหมายถึงว่านั้นจะต้องเป็นตัวอย่างที่ดีให้แก่คนอื่นๆ ศีลธรรม คุณธรรม จรรยาบรรณ ความดีงาม กตัญญูรู้คุณ ต้องมีพร้อม คุณสมบัติเหล่านี้มิใช่หรือที่จะเป็นคุณสมบัติของ “ฮีโร่” อย่างแท้จริง เขาจึงมีคำพูดหนึ่งไว้สอนคนไม่ให้หลงระเริงว่า... “การเป็นเบอร์หนึ่งนั้นยาก...แต่การรักษายืนระยะของการเป็นเบอร์หนึ่งถือเป็นเรื่องที่ยากมากถึงมากที่สุด”

หากวันนี้ฮีโร่ของคนไทยอย่าง “บัวขาว ป.ประมุข” ยังยืนอยู่ในวิชาชีพในแวดวงกีฬามวยแบบไร้ซึ่งจิตสำนึก...วันข้างหน้าก็พอทำนายได้ว่า “อวสาน” คงจะมาถึง เพราะความประพฤติแบบนี้ยังไงก็ไปไม่รอด โดยเฉพาะคำว่ามนุษย์...มันคงไม่มีอะไรจะน่าเกลียดน่ากลัวมากไปกว่า “การเนรคุณ” เครดิตภาพ / บีอีซีเทโร

แสดงความคิดเห็น

0 ความคิดเห็น